วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทที่ 2


บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง

การศึกษาทดลองยาหม่องที่ทำจากเผือกมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาอาการจากแมลงสัตว์กัดต่อย และบรรเทาอาการจากอาการปวดเมื่อย เส้นเอ็น กระดูกผู้ศึกษาได้ทำการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังมีหัวข้อต่อไปนี้
1 ลักษณะของเผือก
2 ความสำคัญของเผือก
3 วิธีการทำยาหม่องสมุนไพร
1. ลักษณะของผักเสี้ยน
                     ประวัติความเป็นมาและแหล่งปลูก
เผือกมีชื่อภาษาอังกฤษว่าทาโร (Taro) นอกจากชื่อนี้ยังมีชื่ออื่นอีก คือ โอลด์โคโคแยม (Old Cocoyam) แดเชนหรือ แดชีน (Dashenหรือ Dasheen) และ เอดโด (Eddo หรือ Eddoe) เผือกมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชียและแถบมหาสมุทรแปซิฟิก เผือกเป็นอาหารหลักของชาวนิวกีนี เดิมทีเดียวเผือกเป็นพืชป่าต่อมามนุษย์จึงนำเอาเผือกมาปลูก เพื่อใช้รับประทานคนไทยรู้จักรับประทานเผือกมานานแล้ว
                   ลักษณะทั่วไป เผือกเป็นพืชที่มีอายุมากกว่า ๑ปีขึ้นไป (perennial) หัวเผือกเป็นลำต้นที่เกิดอยู่ใต้ดิน ประกอบด้วยหัวใหญ่ ๑ หัวและมีหัวเล็กๆ แตกออก รอบๆ ขนาดรูปร่างของหัว สีของเนื้อเผือกมีความแตกต่างกันออกไปตามพันธุ์ หัวใหญ่มีน้ำหนักตั้งแต่หนักกว่า ๔๕๐ กรัมถึงหนักกว่า ๓.๕ กิโลกรัม หัวเล็กหนักตั้งแต่น้อยกว่า ๒๘ กรัม ถึง ๔๕๐ กรัมเนื้อเผือกมีสีต่างกันตั้งแต่สีขาว เหลือง ส้ม จนถึง แดง หรือม่วง
                    ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เผือกมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า โคโลคาเซีย เอสคูเบนตา (แอล) ชอตต์ (Colocaciaesculenta (L) Schott) อยู่ในตระกูลอะราเซีย (Aracea) ที่ทราบ มีเผือกอยู่กว่า ๒๐๐ พันธุ์ ในเมืองไทยนั้นมีหลายพันธุ์เช่นกัน พืชอีกชนิดหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า เผือก หนังสือพรรณไม้แห่งประเทศไทย เล่ม ๑ ของกรมป่าไม้เรียกว่า ลกกะเซีย (lok-ka-sia) และมีชื่ออื่นๆ อีก เช่น ยัวเทีย (yautia) และแทนเนีย (tannia) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า แซนโทโซมา ซากิตทิโฟลเลียม (Xanthosomasagittifollium) ลกกะเซีย เป็นเผือกหัวเล็ก เนื่องมาจากหัวที่เป็นแกนใหญ่ไม่สะสมแป้ง จึงใช้เฉพาะส่วนหัวแขนงเท่านั้น เผือกเป็นพืชมีอายุอยู่ได้หลายฤดู ลำต้นใต้ดินเจริญเติบโตกลายเป็นหัว และมีหัวเล็กๆ ล้อมรอบ หัวมีขนาดและรูปร่างต่างกันออกไป ปกติ ต้นสูง ๐.๔-๒ เมตร ใบใหญ่เป็นรูปหัวใจ มีขนาด สีต่างๆ กัน ใบเกิดจากใต้ดิน ดอกปกติประกอบ ด้วย ๒-๕ ช่อดอก อยู่ในก้านใบ ช่อดอกมีก้าน ยาว ๑๕-๓๐ ซม. ดอกบานทยอยกันเรื่อยๆ ดอกตัวเมียมักจะไม่มี ดอกตัวผู้หนึ่งดอกมีก้านเกสรตัวผู้ ๒-๓ อัน ผลมีสีเขียว เปลือกบาง ไม่ค่อยมีเมล็ด เท่าที่ทราบเผือกที่ปลูกในฮาวาย นิวกินี และโดมินิกัน สามารถติดเมล็ดได้
ชนิด
เดิมทีเดียวนักพฤกษศาสตร์ได้แบ่งเผือกออกเป็น๒ ชนิด คือ ซี แอนทิโควรุม (C.antiquorum)กับ ซี เอสคูเลนตา (C.esculenta)ต่อมาเมื่อได้ตรวจลักษณะอย่างละเอียดแล้วเขาจึงจัดเผือก ๒ ชนิดเข้าไว้เป็นชนิดเดียวกัน คือ ซี เอสคูเลนตาคงแตกต่างกันที่พันธุ์เท่านั้น ขณะนี้เผือกจึงแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ
ประเภทเอดโด (eddoe)
ประเภทนี้ได้แก่ ซี เอสคูเลนตา วาร์ แอนทิโควรุม (C.escuenta var. antiquorum)หรือ ซี เอสคูเลนตา วาร์ โกลบุลิเฟอรา (C.esculenta var. globulifera)ได้แก่ เผือกที่มีหัวขนาดไม่ใหญ่และมีหัวเล็กกว่าล้อมรอบหลายหัว ทุกหัวรับประทานได้ และใช้ทำพันธุ์ได้
2. ประเภทแดชีน (dasheen)
ประเภทนี้ ได้แก่ ซี เอสคูลนตา วาร์ เอสคูเลนตา (C.esculentavar. esculenta)ได้แก่เผือกที่มีหัวขนาดใหญ่ และมีหัวขนาดเล็กๆ ล้อมรอบ หัวใหญ่ใช้รับประทาน ส่วน
(ที่มา: http://kanchanapisek.or.th/kp6/New/sub/book/book.php?book=5&chap=5&page=t5-5-infodetail04.html)

2.ความสำคัญของเผือก
เผือกเป็นอาหารที่บำรุงสุขภาพและให้พลังงานไปพร้อม ๆ กันมีรสหวานอมเผ็ดนิดหน่อยเหมาะกับเด็กและผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาด้านการย่อยอาหารเผือกมีแคลอรีสูงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักส่วนที่ใช้ในการรับประทานคือส่วน หัว ของเผือกที่อยู่ใต้ดิน เผือกจะมีสารอาหารคือสารอาหารจำพวก คาร์โบไฮเดรต โปรตีน โพแทสเซียม วิตามินบี 1 วิตามินซีและที่สำคัญมีธาตุเหล็กสูงและยังมีฟลูอออไรด์สูง ช่วยทำให้ฟันไม่ผุ กระดูกแข็งแรงเผือกยังช่วยบำรุงไต บำรุงลำไส้และแก้อาการท้องเสีย
(ที่มา:http://healthdeena.blogspot.com/2010/01/blog-post.html)

3. วิธีการทำยาหม่องสมุนไพร
นำใบเสลดพังพอนตัวผู้และตัวเมียมาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงทอดในน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว โดยใช้ไฟอ่อน ๆ จนหมดฟองและน้ำมันกลายเป็นสีเขียวเข็ม ยกลงกรอกเอากากออกให้หมด จะได้น้ำมันเสลดพังพอนประมาณ 100 กรัม (ส่วนผสม 1)
นำหม้อแสตนเลสสตีล ใส่วาสลินและขี้ผึ้งลงไป วางหม้อวาสลินลงในหม้ออีกใบที่ใหญ่กว่า ทำการตุ๋นด้วยความร้อนจากหม้อใบใหญ่ที่ใส่น้ำ ใช้ไฟกลาง ๆ กวนให้เข้ากัน ห้ามใช้ความร้อนที่สูงเกินไป จะทำให้กลิ่นระเหยหมดและอาจทำให้เกิดไฟลุกไหม้ได้ หลังจากวาสลินและขี้ผึ้งละลายหมดแล้ว นำพิมเสน เมนทอลและการบูร ผสมรวมกัน คนให้ละลายจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเติมน้ำมันยูคาลิปตัส น้ำมันลาเวนเดอร์ น้ำมันสะระแหน่ น้ำมันอบเชย น้ำมันกานพลูและน้ำมันเขียว คนให้เข้ากันดีอีกครั้ง (ส่วนผสม 2)
นำส่วนผสม 1 และ 2 ผสมรวมกัน คนให้เข้ากันอีกครั้งหนึ่ง
นำส่วนผสมที่ได้บรรจุขณะเป็นน้ำ ใส่ขวดที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้ให้เย็นก่อนปิดฝา พร้อมใช้หรือจำหน่าย
(ที่มา:http://www.yesspathailand.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%
E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%B2/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99.html)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น